Biostimulator

> Biostimulator คืออะไร

Biostimulator หรือที่บางครั้งเรียกว่า Collagen Biostimulator คือ สารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นกลุ่มของสารเติมเต็ม (Filler) ประเภทหนึ่งที่ช่วยฟื้นฟูผิวจากภายใน โดยจะเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมาเอง

> วิธีการทำงานของ Biostimulator

หลังจาก Biostimulator ถูกฉีดเข้าสู่ชั้นผิวหนังแล้ว Biostimulator จะกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างคอลลาเจน อิลาสติน และสารอื่นๆ ในชั้นผิวหนัง โดยเซลล์ไฟโบรบลาสต์จะเริ่มสร้างคอลลาเจนใหม่ ซึ่งจะช่วยเสริมโครงสร้างผิว ทำให้ผิวแข็งแรง ยกกระชับ ลดเลือนริ้วรอย และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว

> ข้อดีของ Biostimulator

  • ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ: กระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนเอง
  • ผลลัพธ์อยู่ได้นาน: ผลลัพธ์อยู่ได้นานกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป ประมาณ 2 ปีขึ้นไป
  • ฟื้นฟูผิวจากภายใน: ช่วยแก้ปัญหาผิวได้หลากหลาย เช่น ริ้วรอย ความหย่อนคล้อย รูขุมขนกว้าง
  • ปลอดภัย: สลายตัวได้เองตามธรรมชาติ

> ข้อจำกัดของ Biostimulator

ไม่เห็นผลลัพธ์ทันที: Biostimulator ต้องใช้เวลาในการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจน ดังนั้นจะไม่เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังฉีด อาจต้องใช้เวลาประมาณ 1-3 เดือน จึงจะเริ่มเห็นผลลัพธ์

ต้องฉีดมากกว่า 1 ครั้ง: เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด อาจต้องฉีดซ้ำหลายครั้ง ตามคำแนะนำของแพทย์

ผลลัพธ์อยู่ได้ไม่ถาวร: แม้ผลลัพธ์ของ Biostimulator จะอยู่ได้นาน แต่ก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาแบบถาวร เมื่อเวลาผ่านไป คอลลาเจนที่สร้างขึ้นใหม่จะค่อยๆ สลายตัว และอาจต้องฉีดซ้ำ

ไม่เหมาะกับทุกคน: Biostimulator อาจไม่เหมาะกับ

  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง โรคเลือด โรคเบาหวาน
  • ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
  • ผู้ที่มีประวัติแพ้สารประกอบของ Biostimulator
  • ผู้ที่มีการติดเชื้อ หรืออักเสบบริเวณที่ต้องการฉีด

ผลข้างเคียง: แม้ว่า Biostimulator จะมีความปลอดภัยสูง แต่ก็อาจเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น

  • รอยเข็ม
  • รอยช้ำ
  • บวม
  • แดง
  • การติดเชื้อ (แต่พบได้น้อย)
  • อาการเหล่านี้มักจะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์
  • ในบางราย อาจเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น การเกิดก้อนแข็ง (Nodule) ใต้ผิวหนัง ซึ่งอาจต้องแก้ไขโดยการฉีดสลาย หรือการรักษาอื่นๆ

ราคา: ค่าใช้จ่ายในการฉีด Biostimulator อาจค่อนข้างสูง ขึ้นอยู่กับ

  • ชนิด และยี่ห้อของ Biostimulator
  • ปริมาณที่ใช้
  • เทคนิคการฉีด

> Biostimulator มีกี่แบบ กี่ยี่ห้อ ต่างกันอย่างไร

Biostimulator หรือ Collagen Biostimulator เป็นกลุ่มของสารเติมเต็มที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ปัจจุบันในประเทศไทย มี Biostimulator หลายยี่ห้อ ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็มีข้อดี ข้อจำกัด และความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ เทคโนโลยีการผลิต และคุณสมบัติอื่นๆ

> Biostimulator ยี่ห้อต่างๆ ที่ผ่าน อย. ในไทย

  • Sculptra (Galderma, สหรัฐอเมริกา): เป็น Biostimulator ยี่ห้อแรกๆ และเป็นที่นิยมมาก มีส่วนประกอบหลักคือ Poly-L-lactic acid (PLLA) ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ฟื้นฟูโครงสร้างผิว ลดเลือนริ้วรอย และเพิ่มวอลุ่มให้กับใบหน้า ผลลัพธ์ค่อนข้างเป็นธรรมชาติ และอยู่ได้นานประมาณ 2 ปี
  • Radiesse (Merz Aesthetics, เยอรมนี): มีส่วนประกอบหลักคือ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และเติมเต็มวอลุ่มในทันที เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์รวดเร็ว ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 12-18 เดือน
  • Ellanse (Sinclair Pharma, อังกฤษ): มีส่วนประกอบหลักคือ Polycaprolactone (PCL) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และมีคุณสมบัติในการยกกระชับผิว ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 2-4 ปี ขึ้นอยู่กับรุ่นของ Ellanse
  • AestheFill (REGEN Biotech, เกาหลี): มีส่วนประกอบหลักคือ Polydioxanone (PDO) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอิลาสติน ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 12-18 เดือน
  • Ultracol (Ultra V, เกาหลี): มีส่วนประกอบหลักคือ PDO (Polydioxanone) ในรูปแบบผง ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอิลาสติน ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 12-18 เดือน
  • Neauvia Hydro Deluxe (อิตาลี): มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) โดย HA ช่วยเติมเต็มร่องลึก และเพิ่มความชุ่มชื้น และ CaHA ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ผลลัพธ์คือผิวเรียบเนียน ยกกระชับ และอ่อนเยาว์ อยู่ได้นานประมาณ 12-18 เดือน
  • Juvelook (Juvetech, เกาหลี): เรียกกันอีกชื่อว่า ไหมน้ำ โดย Juvelook เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน Hybrid biostimulator ที่มีส่วนผสมทั้ง PDLLA และ HA ในตัวเดียวกัน เน้นฉีดเพื่อกระตุ้นคอลลาเจน เหมาะสำหรับคนมีหลุมสิว ริ้วรอยร่องตื้น และใต้ตาหมองคล้ำ อยู่ได้นานประมาณ 12-18 เดือน
  • Gouri (Edencolors, เกาหลี): คือ สาร PCL (Polycaprolactone) มีลักษณะเป็นของเหลว (Liquid) ที่สามารถฉีดเข้าสู่ชั้นผิวได้โดยตรง จะออกฤทธิ์กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน 
  • (Collagen Stimulator) ช่วยฟื้นฟูผิว ทำให้ผิวดูเต่งตึงกระชับขึ้น ริ้วรอยจางลง กระจ่างใสและอิ่มฟู อยู่ได้นานประมาณ 12-18 เดือน

 

ความแตกต่างของ Biostimulator แต่ละยี่ห้อ

  • องค์ประกอบ: Biostimulator แต่ละยี่ห้อมีองค์ประกอบหลักที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อกลไกการทำงาน ระยะเวลาในการเห็นผล และระยะเวลาที่ผลลัพธ์คงอยู่
  • เทคโนโลยีการผลิต: เทคโนโลยีการผลิตที่แตกต่างกัน ส่งผลต่อขนาด และรูปร่างของอนุภาค ซึ่งมีผลต่อการกระตุ้นคอลลาเจน และผลลัพธ์ที่ได้
  • ระยะเวลาในการเห็นผล: Biostimulator บางยี่ห้อ เช่น Radiesse จะเห็นผลลัพธ์ในการเติมเต็มวอลุ่มในทันที ส่วนยี่ห้ออื่นๆ เช่น Sculptra จะต้องใช้เวลาในการกระตุ้นคอลลาเจน
  • ระยะเวลาที่ผลลัพธ์คงอยู่: Biostimulator แต่ละยี่ห้อมีระยะเวลาที่ผลลัพธ์คงอยู่แตกต่างกัน
  • ราคา: ราคาของ Biostimulator แต่ละยี่ห้อแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับคุณภาพ และชื่อเสียงของแบรนด์

 

การเลือกยี่ห้อของ Biostimulator ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น

  • ปัญหา และความต้องการ เช่น ต้องการแก้ไขริ้วรอย เพิ่มวอลุ่ม ยกกระชับผิว
  • งบประมาณ
  • คำแนะนำของแพทย์

> Biostimulator ฉีดได้บริเวณไหนบ้าง

Biostimulator สามารถฉีดได้หลายบริเวณบนใบหน้าและร่างกาย ขึ้นอยู่กับปัญหา และความต้องการ โดยทั่วไปแล้ว Biostimulator นิยมฉีดในบริเวณที่มีปัญหา ดังนี้

ใบหน้า

  • ร่องแก้ม: ช่วยเติมเต็มร่องแก้ม ลดเลือนรอยพับ ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น
  • ขมับ: ช่วยเติมเต็มขมับที่ตอบ ปรับรูปหน้าให้ดูสมดุล
  • ใต้ตา: ช่วยลดเลือนรอยคล้ำใต้ตา แก้ไขปัญหาใต้ตาโหล ทำให้ใต้ตาดูสดใสขึ้น
  • หน้าผาก: ช่วยเติมเต็มหน้าผากที่แบน ลดเลือนริ้วรอยบนหน้าผาก
  • คาง: ช่วยเติมคางให้ยาวขึ้น ปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้น
  • กรอบหน้า: ช่วยยกกระชับกรอบหน้า ทำให้ใบหน้าดูเรียว V-Shape
  • แก้ม: ช่วยเติมเต็มแก้มตอบ ทำให้ใบหน้าดูอิ่มฟู

ร่างกาย

  • ลำคอ: ช่วยลดเลือนริ้วรอย และยกกระชับผิวบริเวณลำคอ
  • หลังมือ: ช่วยลดเลือนริ้วรอย และเพิ่มวอลุ่มให้กับหลังมือ
  • ต้นแขน: ช่วยลดเลือนความหย่อนคล้อย และเซลลูไลท์บริเวณต้นแขน
  • หน้าท้อง: ช่วยลดเลือนความหย่อนคล้อย และรอยแตกลายบริเวณหน้าท้อง
  • ต้นขา: ช่วยลดเลือนความหย่อนคล้อย และเซลลูไลท์บริเวณต้นขา
  • สะโพก: ช่วยยกกระชับ และเพิ่มวอลุ่มให้กับสะโพก

> Biostimulator เหมาะกับใคร

  • ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย
  • ผู้ที่มีริ้วรอย ร่องลึก
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิว
  • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ และอยู่ได้นาน

> ระยะเวลาในการเห็นผลของ Biostimulator

Biostimulator แตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไปตรงที่ไม่ได้เห็นผลลัพธ์ในทันที เนื่องจากต้องใช้เวลาในการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ ซึ่งระยะเวลาในการเห็นผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับชนิดของ Biostimulator สภาพผิว อายุ และการตอบสนองของแต่ละบุคคล

โดยทั่วไป สามารถแบ่งระยะเวลาในการเห็นผลลัพธ์ของ Biostimulator ได้ดังนี้

  • ระยะเริ่มต้น (1-4 สัปดาห์):
    • อาจเห็นผลลัพธ์บ้างเล็กน้อยในช่วงแรก เนื่องจาก Biostimulator บางชนิด เช่น Radiesse มีส่วนประกอบของสารเติมเต็มที่ช่วยเพิ่มวอลุ่มในทันที
    • อาจมีอาการบวม ช้ำ หลังการฉีด ซึ่งจะค่อยๆ หายไป
  • ระยะเริ่มเห็นผล (1-3 เดือน):
    • ร่างกายเริ่มสร้างคอลลาเจนใหม่
    • ผิวเริ่มเรียบเนียน เต่งตึง และยกกระชับขึ้น
    • ริ้วรอย ร่องลึก เริ่มตื้นขึ้น
  • ระยะเห็นผลชัดเจน (3-6 เดือน):
    • ผลลัพธ์จะชัดเจนขึ้น
    • ผิวดูอ่อนเยาว์
    • ผลลัพธ์จะค่อยๆ ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

> การเตรียมตัวก่อนทำของ Biostimulator

งดยา วิตามิน และอาหารเสริมบางชนิด: เช่น

  • แอสไพริน
  • วิตามินอี
  • น้ำมันตับปลา
  • ใบแปะก๊วย
  • กระเทียม
  • โสม
  • อาหารเสริมที่ทำให้เลือดหยุดไหลยาก
  • อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนฉีด Biostimulator เพื่อลดโอกาสการเกิดรอยช้ำ และเลือดออก

งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: อย่างน้อย 1 วันก่อนฉีด Biostimulator เพราะแอลกอฮอล์จะทำให้เลือดไหลเวียนมากขึ้น และอาจทำให้เกิดรอยช้ำได้ง่าย

งดสูบบุหรี่: อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนและหลังฉีด Biostimulator เพราะบุหรี่จะทำให้หลอดเลือดหดตัว ส่งผลต่อการไหลเวียนเลือด และทำให้แผลหายช้า

การเตรียมตัวในวันฉีด Biostimulator:

  • ทำความสะอาดใบหน้า: และเช็ดเครื่องสำอางออกให้หมดก่อนเข้ารับการรักษา
  • สวมใส่เสื้อผ้าที่สบาย: หลวม ไม่รัดรูป
  • แจ้งแพทย์: หากมีอาการผิดปกติใดๆ ก่อนการรักษา
  •  

> ข้อแนะนำหลังทำของ Biostimulator

  • ประคบเย็น: ประคบเย็นบริเวณที่ฉีด ประมาณ 15-20 นาที วันละหลายๆ ครั้ง เพื่อลดอาการบวม ช้ำ
  • งดแต่งหน้า: ในบริเวณที่ฉีด ประมาณ 6 ชั่วโมง
  • งดสัมผัส กด นวด หรือคลึงบริเวณที่ฉีด:
  • งดทาครีม หรือแต่งหน้าบริเวณที่ฉีด: ในช่วง 24 ชั่วโมงแรก
  • งดออกกำลังกายหนัก เล่นกีฬา หรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมาก: เป็นเวลาอย่างน้อย 1 วัน
  • งดอบซาวน่า อบไอน้ำ หรืออาบน้ำอุ่นจัด: เป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • งดดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่: อย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • งดรับประทานยา วิตามิน และอาหารเสริมที่ทำให้เลือดหยุดไหลยาก: เช่น แอสไพริน วิตามินอี น้ำมันตับปลา
  • นวดบริเวณที่ฉีด: แพทย์อาจแนะนำให้นวดเบาๆ บริเวณที่ฉีด เพื่อช่วยให้ Biostimulator กระจายตัวได้ดีขึ้น
  • ทาครีมกันแดด: ที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน แม้ในวันที่ไม่มีแดด

> Biostimulator ราคาเท่าไหร่

ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 75,000 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวน shots ที่ต้องใช้

สำหรับค่าใช้จ่ายในการปลูกผมอย่างละเอียด สามารถติดต่อสอบถามเพื่อรับคำปรึกษาโดยไม่มีค่าใช้จ่ายได้ที่ แผนกผิวหนังและศัลยกรรมตกแต่ง โรงพยาบาลนวมินทร์ 9

> ทำไมต้องทำ Biostimulator ที่ โรงพยาบาลนวมินทร์9

  • โรงพยาบาลได้รับรองมาตรฐาน JCI จากประเทศอเมริกา
  • ทุกขั้นตอนในโรงพยาบาล ได้มาตรฐาน
  • ทุกขั้นตอนโดยแพทย์และผู้ชำนาญการ
  • ห้องหัตถการได้มาตรฐานโรงพยาบาลระดับสากล
  • ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องนอนค้าง รพ.
  • ทีมแพทย์และบุคลากรพร้อมดูแลตลอด 24 ชั่วโมง
  • ติดตามอาการและดูแลต่อเนื่อง ไม่มีค่าใช้จ่าย

> ผลลัพธ์ของ Biostimulator

ผลลัพธ์ของ Biostimulator จะอยู่ได้นานประมาณ 18-24 เดือน หรืออาจมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับชนิดของ Biostimulator และการดูแลตัวเอง

> รีวิว Biostimulator

Scroll-to-Bullets with Tooltip