ปลูกผมเทคนิค DHI

> ปลูกผม DHI คืออะไร ?

การปลูกผมแบบ DHI เป็นวิธีการปลูกผมที่ได้รับความนิยมสูงในขณะนี้ โดยแพทย์จะใช้กราฟ หรือกอผม 1-4 เส้นบริเวณท้ายทอย โดยใช้เครื่องมือ DHI Implanter ในการปักปลูกกราฟท์ผม ส่งผลให้ลดปัญหารากผม และเซลล์รากผมเกิดความเสียหายระหว่างปลูกผมได้เป็นอย่างดี

รวมถึงผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ดูกลมกลืนไปทั้งศีรษะ เนื่องจากเครื่องมือดังกล่าวจะสามารถควบคุมทิศทาง ความลึก และมุมองศาในการปลูกได้แม่นยำ โดยทั่วไปอาจจะใช้เทคนิคนี้ร่วมกับการปลูกผมแบบ Advanced-FUE 

เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสม และเหมาะกับแต่ละบุคคลได้อย่างดี
เทคนิคนี้จะได้ความหนาแน่นแบบ High Density โดยที่ได้เรื่องแนวไรผมที่สวยงาม เน้นความเป็นธรรมชาติ และมาตรฐานที่สูงขึ้น

ขั้นตอนการปลูกผม DHI มีความคล้ายคลึงกับการปลูกผม FUE และ Advanced-FUE โดยมีความต่างกันที่ขั้นตอนการใช้อุปกรณ์ในการเจาะที่มีขนาดเล็กกว่ามาก การเตรียมกราฟท์ผมที่ละเอียดอ่อนมากกว่า และการใช้อุปกรณ์พิเศษที่เรียกว่าเครื่องมือ DHI Implanter ในการปลูกผม จึงได้ผลลัพธ์คือความหนาแน่นที่มากกว่า ได้แนวไรผมที่ชิดมากกว่า และรากผมเกิดความเสียหายน้อยกว่า โดยมีขั้นตอนดังนี้

  1. ตรวจความพร้อมของสุขภาพร่างกายว่ามีความพร้อมสำหรับการรับการปลูกผม
  2. ออกแบบและวาดแนวผมที่ต้องการปลูก โดยออกแบบจากความต้องการของผู้เข้ารับการรักษา ร่วมกับคำแนะนำของแพทย์
  3. โกนผมบริเวณท้ายทอยให้สั้นเพื่อสะดวกในการผ่าตัด
  4. เมื่อเริ่มผ่าตัด แพทย์จะฉีดยาชา และทำการเจาะกราฟท์ผมบริเวณท้ายทอย ให้ได้กราฟท์ที่มีสภาพสมบูรณ์ ไม่ขาดเสียหาย และทิ้งรอยให้เล็กที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
  5. นำกราฟท์ที่ได้มาทำการเตรียมและเก็บรักษากราฟท์ในน้ำยาชนิดพิเศษภายใต้อุณหภูมิที่ควบคุมเพื่อให้เซลล์รากผมอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด
  6. เมื่อถึงขั้นตอนการปลูกผม แพทย์จะเจาะรูในตำแหน่งที่ต้องการปลูก เพื่อกำหนดความหนาแน่น, ตำแหน่งและทิศทางของแนวผมให้เป็นธรรมชาติ โดยปลูกผมทีละกราฟท์ลงไปในตำแหน่งที่กำหนดโดยใช้อุปกรณ์พิเศษที่เรียกว่าเครื่องมือ DHI Implanter

> การเตรียมตัวก่อนการปลูกผม

– กรุณาแจ้งแพทย์ให้ทราบล่วงหน้าว่ามีโรคประจำตัวหรือแพ้ยาแพ้อาหารหรือไม่
– ควรงดรับประทานยาต้านเกล็ดเลือด 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เช่น พลาวิกซ์ (Plavix) แอสไพริน (Aspirin)
  หรือยาที่มีส่วนผสมของแอสไพริน วิตามินอี (Vitamin E) ตับปลา (Fish Oil) 
  เนื่องจากยาดังกล่าวจะทำให้ เลือดไม่แข็งตัว หยุดยาก
– หากท่านเป็นผู้ที่มีความดันโลหิดสูงและรับประทานยาอยู่  กรุณาแจ้งแพทย์ประจำตัวของท่าน
  เพื่อหยุดยา ในกลุ่ม เมต้า บล็อกเกอร์ (Beta blocker) และเปลี่ยนไปใช้ยาตัวอื่นหลังการผ่าตัด 1 สัปดาห์ เพราะจะมีผลต่อยาชาที่ฉีดเฉพาะที่ (Xylocaine)
– งดทานครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์ 1 สัปดาห์ ก่อนการผ่าตัดและงดสูบบุหรี่ 1-2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด
– สามารถรับประทานอาหารเช้าได้แต่ไม่ควรมากเกินไป งดรับประทาน ชา กาแฟ
– ห้ามขับรถมาเองในวันที่ทำการผ่าตัด
– ห้ามนำของมีค่ามาในวันที่ทำการผ่าตัด เพราะหากจะเกิดการสูญหายทางคลินิกจะไม่รับผิดชอบ
– ควรมาให้ถึงคลินิกตามเวลาที่นัดหมาย
– หากท่านต้องการตัดผม ทำสีผมหรือย้อมผม ควรทำล่วงหนัาก่อนการผ่าตัด 1 – 2 วัน เพราะหลังจากผ่าตัดปลูกผมแล้ว ห้ามทำสีผมเป็นเวลา 1 เดือน
– วันที่ผ่าตัดและหลังวันที่ผ่าตัด 2 สับดาห์ ควรสวมเสื้อเชิ้ตติดกระดุมด้านหน้า 
  ไม่สวมเสื้อที่ต้องลอดผ่านศีรษะ เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนบริเวณผมที่ปลูก
– นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เนื่องจากการผ่าตัดต้องใช้เวลานานซึ่งอาจจะทำให้อ่อนเพลียได้
  หากนอนหลับไม่เพียงพอ
– หยุดใช้ยาไมนอกซิดิล (Minoxidil) ทั้งแบบทาและแบบรับประทาน 1-2 สัปดาห์ก่อนวันผ่าตัด
– สระผมด้วย แชมพูคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) ก่อนวันผ่าตัด 1-2 สัปดาห์

> การดูแลตัวเองหลังการปลูกผม

  • ในระยะ 4วันแรก ไม่ควรทำอะไรกับศีรษะเลย โดยแนะนำให้มาสระผม-ล้างแผลที่โรงพยาบาลตามแพทย์นัด
  • ไม่ควรก้มหน้าต่ำกว่าบริเวณเอวให้นอนหัวสูงนอนหงายหนึ่งสัปดาห์(ใช้หมอนล็อคคอ)
  • ใส่หมวกผ้าทุกครั้งเวลาออกจากบ้าน อยู่บ้านถอดออกได้ใส่ไว้นาน 2-4 สัปดาห์เพื่อกันฝุ่นมลภาวะ
  • ห้ามทำกิจกรรมกระทบกระเทือนศีรษะห้ามนวดศีรษะเด็ดขาด 
  • ห้ามทำกิจกรรมออกแรงเช่นเบ่งยกของหนักงดออกกำลังกาย2-4สัปดาห์
  • ห้ามสูบบุหรี่เด็ดขาด
  • งดกินวิตามิน/อาหารเสริม/ชา/กาแฟ 1สัปดาห์ 
  • งดดื่มแอลกอฮอล์ 4 สัปดาห์จากนั้นไม่ควรดื่มเป็นประจำ
  • เริ่มออกกำลังกายเบาๆเหงื่อออกไม่เยอะได้หลัง 2สัปดาห์ ไม่ควรปล่อยให้มีเหงื่อสะสม หมักหมม
  • งดว่ายน้ำ 1เดือน
  • หลีกเลี่ยงสถานที่และกิจกรรมที่มีฝุ่นควันความร้อน 2-4 สัปดาห์ งดซาวน่า/สปา 2 เดือน
  • ในระยะเวลา 2 สัปดาห์แรกจะเป็นสะเก็ดและคันได้ ห้ามแกะ ห้ามเกาเด็ดขาด ปล่อยให้สะเก็ดหลุดเอง หากคันมากให้เป่าลมเย็นบรรเทาอาการหรือรับประทานยาแก้คัน (ล้างสะเก็ดแผลที่โรงพยาบาลตามบัตรนัดวันที่ 14 หลังปลูกผม)
  • ห้ามใส่หมวกหรือสิ่งที่กดทับผมที่ปลูก 1 เดือน
  • ใช้ไดร์เย็นระดับเบาเป่าผมที่ปลูกได้
  • เริ่มสระผมเอง ถูเบาๆ ผมที่ปลูกได้ 1 เดือน
  • บริเวณผมที่เจาะออกจากด้านหลังอาจรู้สึกตึงๆ เจ็บๆ ชาๆ ได้ถึงประมาณ 1-3 เดือน อาการจะค่อยๆดีขึ้นเอง
  • ควรงดการยืด/ดัด/ย้อม/เคมี 1 ปี
  • กินยาต่อเนื่องให้หมด หากต้องการหยุดยาต้องแจ้งแพทย์เพื่อปรับยา (ห้ามหยุดยาเอง)
  • สามารถดูแลเส้นผมและหนังศีรษะอย่างอื่นควบคู่ได้ เช่น ฉายแสง LED Light Therapy การใช้สเปรย์บำรุงผม เพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุด
  • มาพบแพทย์ตามนัดหมายทุกครั้ง

> อาการบวมและคันหลังจากปลูกผม

อาการบวมและคันหลังการปลูกผมเป็นอาการที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในช่วง 2-3 วันแรก และมักจะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์
สาเหตุของอาการบวม

  • การอักเสบ: เกิดจากการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อ ขณะทำการปลูกผม
  • การสะสมของของเหลว: ร่างกายจะส่งของเหลวไปยังบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ เพื่อช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการบวมได้
  • ยาชา: ยาชาที่ใช้ในระหว่างการปลูกผม อาจทำให้เกิดอาการบวมได้

สาเหตุของอาการคัน

  • การสมานแผล: ขณะที่แผลกำลังสมานตัว อาจเกิดอาการคันได้
  • สะเก็ดแผล: สะเก็ดแผลที่เกิดขึ้น อาจทำให้รู้สึกคัน
  • การระคายเคือง: อาจเกิดจากการแพ้ หรือระคายเคืองต่อผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม

วิธีบรรเทาอาการบวมและคัน

  • ประคบเย็น: ใช้ผ้าเย็นประคบบริเวณที่บวม วันละหลายๆ ครั้ง ครั้งละ 15-20 นาที
  • นอนหนุนหมอนสูง: ช่วยลดอาการบวมบริเวณใบหน้า
  • รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง: เช่น ยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ
  • ทำความสะอาดแผล: ตามคำแนะนำของแพทย์
  • หลีกเลี่ยงการเกา: การเกาอาจทำให้เกิดการติดเชื้อ และแผลหายช้า
  • หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดการระคายเคือง: เช่น แสงแดด ฝุ่นละออง สารเคมี
  • ใช้ยาตามที่แพทย์สั่ง: เช่น ยาทาแก้คัน

อาการแบบไหนที่ควรพบแพทย์?

  • อาการบวม หรือคัน รุนแรงขึ้น
  • มีไข้ หนาวสั่น
  • แผลมีหนอง หรือเลือดไหล
  • มีอาการปวดศีรษะ รุนแรง
  • มีอาการอื่นๆ ที่ผิดปกติ

ข้อแนะนำ

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ดูแลตัวเอง และพักผ่อนให้เพียงพอ
  • งดสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก

> อาการผมร่วงหลังจากปลูกผม

อาการผมร่วงหลังการปลูกผมเป็นเรื่องที่พบได้บ่อย และมักสร้างความกังวลใจให้กับผู้ที่เข้ารับการรักษา แต่ในหลายกรณี เป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นชั่วคราว และผมใหม่จะงอกขึ้นมาแทนที่
ประเภทของผมร่วงหลังการปลูกผม

  1. Shock Loss: เป็นผมร่วงที่เกิดขึ้นในช่วง 2-8 สัปดาห์แรกหลังการปลูกผม เกิดจากการบาดเจ็บของรากผม และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งเป็นอาการชั่วคราว ผมใหม่จะงอกขึ้นมาแทนที่ภายใน 3-4 เดือน

     

  2. Telogen Effluvium: เป็นผมร่วงที่เกิดจากความเครียด เช่น การผ่าตัด การเจ็บป่วย หรือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้หลังการปลูกผม โดยผมจะร่วงมากขึ้น และใช้เวลาในการงอกใหม่นานกว่า

     

สาเหตุอื่นๆ ของผมร่วงหลังการปลูกผม

  • การติดเชื้อ: หากแผลติดเชื้อ อาจทำให้ผมร่วงได้
  • การดูแลตัวเองไม่ถูกวิธี: เช่น การเกา การแกะสะเก็ด หรือการใช้สารเคมี
  • โรคประจำตัว: เช่น โรคไทรอยด์ โรคเบาหวาน

วิธีดูแลตัวเองหลังการปลูกผม เพื่อลดโอกาสการเกิดผมร่วง

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ดูแลแผลให้สะอาด ตามคำแนะนำของแพทย์
  • หลีกเลี่ยงการเกา หรือแกะสะเก็ด
  • งดกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก
  • รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ตามคำแนะนำของแพทย์
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • จัดการความเครียด

> การปลูกผมใช้เวลาและพักฟื้นนานหรือไม่?

  • การปลูกผมใช้เวลาประมาณ 6-8ชั่วโมง และพักฟื้นภายหลังการปลูกผมประมาณ 2-3 วัน ซึ่งใน 2-3 วันนี้ แนะนำให้เข้ามาพบแพทย์เพื่อติดตามอาการ รวมถึงทำความสะอาดแผล-ล้างแผล-สระผม-ทุกวัน 

โดยสามารถกลับไปใช้ชีวิตและทำงานได้ตามปกติ ตั้งแต่วันแรกหลังการปลูกผม แต่ยังคงต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อผลการรักษาที่สมบูรณ์

> ผมที่ปลูกจะอยู่ไปตลอด หรือถาวรหรือไม่?

  • ผมที่ถูกเลือกมาใช้สำหรับการปลูกผม เป็นรากผมและเส้นผมจากบริเวณท้ายทอยและหลังกกหู หรือที่เรียกว่า Donor Area  ซึ่งผมบริเวณนี้เป็นบริเวณที่รากผมไม่มีต่อมรับสัญญาณเพศชายที่จะไปกระตุ้นให้ผมร่วง ดังนั้นรากผมและเส้นผมจากบริเวณนี้จะเป็นรากผมและเส้นผมที่ไม่ได้รับผลกระทบจากฮอร์โมนหรือจากภาวระผมร่วงจากกรรมพันธุ์ ซึ่งไม่ว่าจะปลูกผมในบริเวณใดก็ได้ (Recipient Area) ผมที่ปลูกก็ตามจะอยู่กับเราไปตลอดอย่างถาวร อย่างไรก็ตามหลังการปลูกผม ยังคงต้องรดูแลผมและหนังศีรษะอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ผมที่ปลูกรวมถึงผมเดิมอยู่กับเราอย่างแข็งแรง สุขภาพดี ไปได้นานที่สุด

> ทำไมหลังการปลูกผม ผมจึงร่วงก่อนแล้วจึงงอกขึ้นใหม่ / วงจรชีวิตเส้นผม / เส้นผมแต่ละเส้นอยู่กับเรานานแค่ไหน

  • โดยปกติเส้นผมบนศีรษะของคนเราแต่ละคนมีมากถึง 100,000 เส้น ซึ่งมีมากที่สุดในช่วงแรกเกิด มีมากกว่า 1,000 รากผม ต่อ 1 ตร.ซม. และจะค่อยๆน้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น  เหลือเพียงประมาณ 600 รากผม ต่อ 1 ตร.ซม.เมื่ออายุได้ประมาณ 20-30 ปี เหลือประมาณ 500 รากผม ต่อ 1 ตร.ซม.เมื่อเข้าสู่วัยประมาณ 40-50 ปี และเหลือประมาณ 400 รากผม ต่อ 1 ตร.ซม. เมื่อเข้าสู่วัยประมาณ 60-70 ปี 

    โดยเส้นผมแต่ละเส้นสร้างมาจาก “เซลล์รากผม” ซึ่งอยู่ลึกประมาณ 1-2 มิลลิเมตร ใต้หนังศีรษะจะมีเซลล์ที่ผลิตแกนผมเปลือกนอกของผม นอกจากนี้บริเวณรากผมยังมีเซลล์สร้างเม็ดสี โดยปัจุบันคนเอเชียจะมีผมสีดำหรือน้ำตาลเข้ม เพราะมีเม็ดสีที่เรียกว่า “ยูเมลานิน” (Eumelanin) ซึ่งมีสีเข้ม แต่คนที่ผมสีทองมียูเมลานิลน้อย ลักษณะของเซลล์เม็ดสีของต่างชาติมีชื่อว่า “ฟีโอเมลานิน” (Pheomelanin) ซึ่งมีสีอ่อนเมื่อระยะเวลาผ่านไปเซลล์เม็ดสีก็ค่อยๆเสื่อมลงหรือตายไป ก็จะเกิดเป็นภาวะที่เรียกว่า“ผมหงอก” นั่นเอง

    เส้นผมจะมีวงจรในการเจริญเติบโตทั้งสิ้น 4 ระยะ คือ       

    1) เติบโต (Anagen Phase) เป็นระยะเวลาที่เส้นผมใหม่งอกขึ้นมา มีระยะเวลายาวนานประมาณ 2 ถึง 6 ปี เมื่ออายุมากขึ้นระยะการเจริญเติบโตจะสั้นลง ในระยะนี้เส้นผมจะยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 0.5 – 1 เซนติเมตรต่อเดือน (90% ของเส้นผมจะอยู่ในระยะเจริญเติบโต 10% ในระยะพักตัว)

    2) พักตัว (Catagen Phase) คือ ระยะสิ้นสุดการเจริญเติบโตและเส้นผมจะเข้าสู่ระยะพักตัว ในระยะนี้เส้นผมจะแยกตัวจากหลอดเลือดที่มาหล่อเลี้ยง ค่อยๆขาดสารอาหารและเตรียมที่จะร่วงระยะนี้จะกินเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ (10% ของเส้นผมอยู่ในระยะพัก)

    3) หยุดการเจริญเติบโต (Telogen Phase) ต่อมรากผมจะเลื่อนตัวขึ้นไป ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 2-4 เดือน (10-15% ของเส้นผมระยะหยุดการเจริญเติบโต) ถ้ามีอะไรมาขัดขวางการเจริญของผมใหม่หรือเร่งให้ผมอยู่ในระยะพักเร็วขึ้นก็จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผมร่วง มากกว่าที่ผมจะขึ้น ผมอาจจะบางลง หนังศรีษะอาจเกิดการผิดปกติ ทำให้หัวล้านได้

    4) (Early Anagen) ระยะนี้ เป็นระยะที่จะมีเส้นผมที่งอกขึ้นมาใหม่ดันให้ผมเก่าร่วงออกไป และกลับเข้าสู่ระยะที่ 1) ต่อไป

    โดยปกติ หลังการปลูกผม ผมที่ปลูกจะค่อยๆร่วงพร้อมกับสะเก็ดก็หลุดออกจนหมดใน 1-2 เดือนหลังการปลูกผม เหมือนกับเราไม่ได้ปลูกผมเลย หรือที่เรียกกันว่า Shock loss ซึ่งป็นช่วงที่ผมเข้าสู่ช่วงระยะพักตัว (Catagen Phase) (ซึ่งจะร่วงเฉพาะเส้นผม แต่เซลล์รากผม เซลล์ยังคงฝังอยู่ในหนังศีรษะ) เมื่อเข้าสู่เดือนที่ 4-6 หลังการปลูกผม ผมเส้นใหม่ที่แข็งแรงจะค่อยๆงอกและยาวขึ้น จนหนาแน่นเป็นธรรมชาติตั้งแต่เดือนที่ 6-10 เป็นต้นไป (ปกติจะเห็นผลชัดเจนประมาณเดือนที่ 12)

> ปลูกผม DHI ต่างกับ FUT อย่างไร?

การปลูกผมแบบ DHI (Direct Hair Implantation) และ FUT (Follicular Unit Transplantation) ต่างก็เป็นเทคนิคการปลูกผมถาวรที่ได้รับความนิยม แต่มีขั้นตอนการดำเนินการที่แตกต่างกัน ส่งผลให้มีข้อดี ข้อเสีย และความเหมาะสมกับผู้เข้ารับการรักษาที่แตกต่างกัน

ลักษณะ

DHI (Direct Hair Implantation)

FUT (Follicular Unit Transplantation)

วิธีการ

– เจาะเก็บรากผมทีละกอจากบริเวณท้ายทอย

– นำรากผมที่เก็บได้ไปปลูกในบริเวณที่ต้องการ

– ตัดแถบหนังศีรษะจากบริเวณท้ายทอย 

– แยกเซลล์รากผมออกจากแถบหนังศีรษะ 

– นำรากผมไปปลูกในบริเวณที่ต้องการ

แผลเป็น

– แผลเป็นจุดเล็กๆ มองเห็นได้ยาก 

– แผลเป็นแนวเส้นตรงบริเวณท้ายทอย 

ระยะเวลาพักฟื้น

– ฟื้นตัวเร็ว 

– แผลหายเร็ว

– ใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า 

– แผลหายช้ากว่า

ความเจ็บปวด

– เจ็บน้อยกว่า

– เจ็บมากกว่า

จำนวนกราฟที่ได้

– ได้จำนวนกราฟน้อยกว่า

– ได้จำนวนกราฟมากกว่า

   

ข้อดี

– แผลเป็นเล็ก มองเห็นได้ยาก 

– ฟื้นตัวเร็ว 

– เจ็บน้อยกว่า

– ได้จำนวนกราฟผมมากกว่า 

ข้อเสีย

– ได้จำนวนกราฟผมน้อยกว่า 

– แผลเป็นเห็นชัดเจน 

– ใช้เวลาพักฟื้นนาน 

– เจ็บมากกว่า

เหมาะกับ

– ผู้ที่ต้องการปลูกผมจำนวนไม่มาก 

– ผู้ที่ต้องการแผลเป็นขนาดเล็ก 

– ผู้ที่ต้องการพักฟื้นเร็ว 

– ผู้ที่ไว้ผมสั้น

– ผู้ที่ต้องการปลูกผมจำนวนมาก

 

> ปลูกผม Advanced-FUE ต่างกับ DHI อย่างไร?

การปลูกผมแบบ Advanced-FUE (Advanced-Follicular Unit Extraction) และ DHI (Direct Hair Implantation) เป็นเทคนิคการปลูกผมที่มีความคล้ายคลึงกัน โดยทั้งคู่เป็นการเจาะเก็บรากผมทีละกอ แต่มีความแตกต่างกันในขั้นตอนการปลูกผม ซึ่งส่งผลต่อข้อดี ข้อเสีย และความเหมาะสมกับผู้เข้ารับการรักษา

ลักษณะ

Advanced-FUE (Advanced-Follicular Unit Extraction)

DHI (Direct Hair Implantation)

วิธีการ

– เจาะเก็บรากผมทีละกอ 

ใช้ใบมีดเล็กๆ กรีดเปิดรู บนหนังศีรษะ 

– นำรากผมที่เก็บได้ไปปลูกในรูที่เตรียมไว้

– เจาะเก็บรากผมทีละกอ 

ใช้ปากกาปลูกผม (Implanter Pen) ใส่รากผมและปลูกผมในขั้นตอนเดียว

ระยะเวลา

– ใช้เวลานานกว่า DHI

– ใช้เวลาน้อยกว่า Advanced-FUE

ความหนาแน่น

– อาจได้ความหนาแน่นน้อยกว่า DHI

– ได้ความหนาแน่นมากกว่า Advanced-FUE

การฟื้นตัว

– ฟื้นตัวเร็ว

– ฟื้นตัวเร็ว

ราคา

– ราคาถูกกว่า DHI

– ราคาสูงกว่า Advanced-FUE

ข้อดี

– ราคาถูกกว่า 

– แผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว

– ได้ความหนาแน่นของเส้นผมมากกว่า 

– ควบคุมทิศทาง มุม และความลึกของรากผมได้แม่นยำ 

– ลดโอกาสการเกิดแผลเป็น และการบาดเจ็บของรากผม 

– แผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว

ข้อเสีย

– อาจได้ความหนาแน่นน้อยกว่า 

– ควบคุมทิศทางของรากผมได้น้อยกว่า

– ราคาสูงกว่า

เหมาะกับ

– ผู้ที่ต้องการปลูกผมจำนวนไม่มาก 

– ผู้ที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย

– ผู้ที่ต้องการปลูกผมจำนวนมาก 

– ผู้ที่ต้องการความหนาแน่นสูง 

– ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ

DHI เป็นเทคนิคการปลูกผมที่พัฒนาต่อยอดมาจาก Advanced-FUE โดยเน้นความแม่นยำ ความหนาแน่น และผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ แต่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า การเลือกวิธีที่เหมาะสม ควรพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพเส้นผม งบประมาณ และความต้องการ รวมถึงปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินสภาพเส้นผม และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด

> ข้อจำกัดของการปลูกผมแบบ DHI

แม้ว่าการปลูกผมแบบ DHI จะเป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมและมีข้อดีหลายประการ แต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่างที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจ ดังนี้

  1. จำนวนกราฟที่จำกัด: การปลูกผมแบบ DHI จะได้จำนวนกราฟผมน้อยกว่า FUT เนื่องจากเป็นการเจาะเก็บรากผมทีละกอ ซึ่งอาจไม่เพียงพอสำหรับผู้ที่มีปัญหาผมร่วงหรือศีรษะล้านในบริเวณกว้าง
  2. ใช้เวลานาน: การเจาะเก็บรากผมทีละกอ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง ขึ้นอยู่กับจำนวนกราฟที่ต้องการปลูก
  3. ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง: เช่น สุขภาพของรากผม สภาพหนังศีรษะ และการดูแลตัวเองหลังการปลูกผม ซึ่งอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม และผลลัพธ์ที่ได้
  4. ไม่เหมาะกับทุกคน: DHI อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผมบางมาก หรือมีรากผมไม่แข็งแรง
  5. อาจเกิดรอยแผลเป็น: แม้ว่าแผลเป็นจาก DHI จะมีขนาดเล็ก แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากแพทย์ไม่มีความชำนาญ
  6. ผมบริเวณท้ายทอยอาจบางลง: เนื่องจากเป็นการนำรากผมจากท้ายทอยมาปลูก ซึ่งอาจทำให้ผมบริเวณท้ายทอยบางลงได้ หากนำรากผมออกมามากเกินไป

ดังนั้น ก่อนตัดสินใจปลูกผมแบบ DHI ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินสภาพเส้นผม ความเหมาะสมในการรักษา และพูดคุยถึงความคาดหวัง รวมถึง ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ เพื่อประกอบการตัดสินใจ

> ข้อดีปลูกผม DHI

การปลูกผมแบบ DHI (Direct Hair Implantation) เป็นเทคนิคการปลูกผมที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ด้วยข้อดีหลายประการ ที่ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง หรือศีรษะล้าน

  • แผลเป็นขนาดเล็ก มองเห็นได้ยาก: การปลูกผม DHI เป็นการเจาะเก็บรากผมทีละกอ จึงไม่ทำให้เกิดแผลเป็นขนาดใหญ่ มีเพียงรอยแผลเล็กๆ ซึ่งจะหายไปเองตามธรรมชาติ และมองเห็นได้ยาก แม้จะตัดผมสั้น
  • รากผมสมบูรณ์กว่า: เนื่องจากการใช้อุปกรณ์พิเศษที่เรียกว่า DHI Implanter สำหรับขั้นตอนปลูกผม ทำให้โอกาสเกิดความเสียหายต่อรากผมน้อยกว่า 
  • ฟื้นตัวเร็ว: แผลหลังการปลูกผม DHI มีขนาดเล็ก จึงใช้เวลาในการฟื้นตัวไม่นาน ผู้เข้ารับการรักษาสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ โดยไม่ต้องพักฟื้นนาน
  • เจ็บน้อยกว่า: เทียบกับการปลูกผมแบบ FUT ซึ่งต้องตัดแถบหนังศีรษะ การปลูกผม FUE เจ็บน้อยกว่ามาก
  • ลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อน: เช่น การติดเชื้อ หรือแผลเป็นนูน
  • ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ: ผมที่ปลูกใหม่จะงอกขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ กลมกลืนกับเส้นผมเดิม
  • สามารถปลูกผมได้ในหลายบริเวณ: เช่น ศีรษะ คิ้ว หนวด เครา

ไม่จำเป็นต้องโกนผมทั้งหมด: สามารถเลือกโกนผมเฉพาะบริเวณที่ต้องการปลูกได้

> การปลูกผม DHI เหมาะกับใคร?

  • ผู้ที่ต้องการปลูกผมจำนวนไม่มาก
  • ผู้ที่ต้องการแผลเป็นขนาดเล็ก มองเห็นได้ยาก
  • ผู้ที่ต้องการพักฟื้นเร็ว
  • ผู้ที่ไว้ผมสั้น
  • ผู้ที่ต้องการปลูกผมในบริเวณเล็กๆ เช่น คิ้ว หนวด เครา

> ผลลัพธ์หลังปลูกผม

การปลูกผม DHI เป็นการรักษาผมบาง ศีรษะล้านแบบถาวรอย่างยั่งยืน เพราะผมที่ท้ายทอยนั้นได้รับผลกระทบจากฮอร์โมน DHT ซึ่งเป็นฮอร์โมนซึ่งพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิงที่ส่งผลให้ผมร่วง (โดยปกติฮอร์โมน DHT จะส่งผลต่อการร่วงของผมที่บริเวณกลางศีรษะและบริเวณแนวไรผมด้านหน้าเหนือหน้าผาก) ดังนั้นผมที่ถูกย้ายมาจากบริเวณท้ายทอยจะไม่ถูกฮอร์โมน DHT โจมตี และไม่เกิดการหลุดร่วงจากฮอร์โมนอีก

> ปลูกผม DHI ราคาเท่าไหร่?

ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 89,999 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวน ‘กราฟท์’ ที่ใช้ในการปลูกผม และเทคนิคที่ใช้ปลูกผม
สำหรับค่าใช้จ่ายในการปลูกผมอย่างละเอียด สามารถติดต่อสอบถามเพื่อรับคำปรึกษาโดยไม่มีค่าใช้จ่ายได้ที่ แผนกผิวหนังและศัลยกรรมตกแต่ง โรงพยาบาลนวมินทร์ 9

> ทำไมต้องปลูกผมที่ โรงพยาบาลนวมินทร์ 9?

  • โรงพยาบาลได้รับรองมาตรฐาน JCI จากประเทศอเมริกา
  • ทุกขั้นตอนในโรงพยาบาล ได้มาตรฐาน
  • ทุกขั้นตอนโดยแพทย์และผู้ชำนาญการ
  • ห้องผ่าตัดได้มาตรฐานโรงพยาบาลระดับสากล
  • ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องนอนค้าง รพ.
  • ออกแบบแนวไรผมเฉพาะบุคคล ดูเป็นธรรมชาติ
  • แทบไร้รอยแผลเป็น ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเจ็บตัว
  • ทำเพียงครั้งเดียว อยู่ได้ตลอด ไม่ต้องทำซ้ำ
  • ทีมแพทย์และบุคลากรพร้อมดูแลตลอด 24 ชั่วโมง
  • ติดตามอาการและดูแลต่อเนื่อง ไม่มีค่าใช้จ่าย
  • รับประกัน 1 ปีเต็ม ไม่ขึ้นปลูกให้ใหม่

> รีวิวปลูกผมเทคนิค DHI

Scroll-to-Bullets with Tooltip