ปลูกผมเทคนิค DHI

- ปลูกผม DHI คืออะไร ?
- ขั้นตอนการปลูกผม DHI
- การเตรียมตัวก่อนการปลูกผม
- การดูแลตัวเองหลังการปลูกผม
- อาการบวมและคันหลังจากปลูกผม
- อาการผมร่วงหลังจากปลูกผม
- การปลูกผมใช้เวลาและพักฟื้นนานหรือไม่?
- ผมที่ปลูกจะอยู่ไปตลอด หรือถาวรหรือไม่?
- ทำไมหลังการปลูกผม ผมจึงร่วงก่อนแล้วจึงงอกขึ้นใหม่ / วงจรชีวิตเส้นผม / เส้นผมแต่ละเส้นอยู่กับเรานานแค่ไหน
> ปลูกผม DHI คืออะไร ?
การปลูกผมแบบ DHI เป็นวิธีการปลูกผมที่ได้รับความนิยมสูงในขณะนี้ โดยแพทย์จะใช้กราฟ หรือกอผม 1-4 เส้นบริเวณท้ายทอย โดยใช้เครื่องมือ DHI Implanter ในการปักปลูกกราฟท์ผม ส่งผลให้ลดปัญหารากผม และเซลล์รากผมเกิดความเสียหายระหว่างปลูกผมได้เป็นอย่างดี
รวมถึงผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ดูกลมกลืนไปทั้งศีรษะ เนื่องจากเครื่องมือดังกล่าวจะสามารถควบคุมทิศทาง ความลึก และมุมองศาในการปลูกได้แม่นยำ โดยทั่วไปอาจจะใช้เทคนิคนี้ร่วมกับการปลูกผมแบบ Advanced-FUE
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสม และเหมาะกับแต่ละบุคคลได้อย่างดี
เทคนิคนี้จะได้ความหนาแน่นแบบ High Density โดยที่ได้เรื่องแนวไรผมที่สวยงาม เน้นความเป็นธรรมชาติ และมาตรฐานที่สูงขึ้น
ขั้นตอนการปลูกผม DHI มีความคล้ายคลึงกับการปลูกผม FUE และ Advanced-FUE โดยมีความต่างกันที่ขั้นตอนการใช้อุปกรณ์ในการเจาะที่มีขนาดเล็กกว่ามาก การเตรียมกราฟท์ผมที่ละเอียดอ่อนมากกว่า และการใช้อุปกรณ์พิเศษที่เรียกว่าเครื่องมือ DHI Implanter ในการปลูกผม จึงได้ผลลัพธ์คือความหนาแน่นที่มากกว่า ได้แนวไรผมที่ชิดมากกว่า และรากผมเกิดความเสียหายน้อยกว่า โดยมีขั้นตอนดังนี้
- ตรวจความพร้อมของสุขภาพร่างกายว่ามีความพร้อมสำหรับการรับการปลูกผม
- ออกแบบและวาดแนวผมที่ต้องการปลูก โดยออกแบบจากความต้องการของผู้เข้ารับการรักษา ร่วมกับคำแนะนำของแพทย์
- โกนผมบริเวณท้ายทอยให้สั้นเพื่อสะดวกในการผ่าตัด
- เมื่อเริ่มผ่าตัด แพทย์จะฉีดยาชา และทำการเจาะกราฟท์ผมบริเวณท้ายทอย ให้ได้กราฟท์ที่มีสภาพสมบูรณ์ ไม่ขาดเสียหาย และทิ้งรอยให้เล็กที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
- นำกราฟท์ที่ได้มาทำการเตรียมและเก็บรักษากราฟท์ในน้ำยาชนิดพิเศษภายใต้อุณหภูมิที่ควบคุมเพื่อให้เซลล์รากผมอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด
- เมื่อถึงขั้นตอนการปลูกผม แพทย์จะเจาะรูในตำแหน่งที่ต้องการปลูก เพื่อกำหนดความหนาแน่น, ตำแหน่งและทิศทางของแนวผมให้เป็นธรรมชาติ โดยปลูกผมทีละกราฟท์ลงไปในตำแหน่งที่กำหนดโดยใช้อุปกรณ์พิเศษที่เรียกว่าเครื่องมือ DHI Implanter
> การเตรียมตัวก่อนการปลูกผม
– กรุณาแจ้งแพทย์ให้ทราบล่วงหน้าว่ามีโรคประจำตัวหรือแพ้ยาแพ้อาหารหรือไม่
– ควรงดรับประทานยาต้านเกล็ดเลือด 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เช่น พลาวิกซ์ (Plavix) แอสไพริน (Aspirin)
หรือยาที่มีส่วนผสมของแอสไพริน วิตามินอี (Vitamin E) ตับปลา (Fish Oil)
เนื่องจากยาดังกล่าวจะทำให้ เลือดไม่แข็งตัว หยุดยาก
– หากท่านเป็นผู้ที่มีความดันโลหิดสูงและรับประทานยาอยู่ กรุณาแจ้งแพทย์ประจำตัวของท่าน
เพื่อหยุดยา ในกลุ่ม เมต้า บล็อกเกอร์ (Beta blocker) และเปลี่ยนไปใช้ยาตัวอื่นหลังการผ่าตัด 1 สัปดาห์ เพราะจะมีผลต่อยาชาที่ฉีดเฉพาะที่ (Xylocaine)
– งดทานครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์ 1 สัปดาห์ ก่อนการผ่าตัดและงดสูบบุหรี่ 1-2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด
– สามารถรับประทานอาหารเช้าได้แต่ไม่ควรมากเกินไป งดรับประทาน ชา กาแฟ
– ห้ามขับรถมาเองในวันที่ทำการผ่าตัด
– ห้ามนำของมีค่ามาในวันที่ทำการผ่าตัด เพราะหากจะเกิดการสูญหายทางคลินิกจะไม่รับผิดชอบ
– ควรมาให้ถึงคลินิกตามเวลาที่นัดหมาย
– หากท่านต้องการตัดผม ทำสีผมหรือย้อมผม ควรทำล่วงหนัาก่อนการผ่าตัด 1 – 2 วัน เพราะหลังจากผ่าตัดปลูกผมแล้ว ห้ามทำสีผมเป็นเวลา 1 เดือน
– วันที่ผ่าตัดและหลังวันที่ผ่าตัด 2 สับดาห์ ควรสวมเสื้อเชิ้ตติดกระดุมด้านหน้า
ไม่สวมเสื้อที่ต้องลอดผ่านศีรษะ เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนบริเวณผมที่ปลูก
– นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เนื่องจากการผ่าตัดต้องใช้เวลานานซึ่งอาจจะทำให้อ่อนเพลียได้
หากนอนหลับไม่เพียงพอ
– หยุดใช้ยาไมนอกซิดิล (Minoxidil) ทั้งแบบทาและแบบรับประทาน 1-2 สัปดาห์ก่อนวันผ่าตัด
– สระผมด้วย แชมพูคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) ก่อนวันผ่าตัด 1-2 สัปดาห์
> การดูแลตัวเองหลังการปลูกผม
- ในระยะ 4วันแรก ไม่ควรทำอะไรกับศีรษะเลย โดยแนะนำให้มาสระผม-ล้างแผลที่โรงพยาบาลตามแพทย์นัด
- ไม่ควรก้มหน้าต่ำกว่าบริเวณเอวให้นอนหัวสูงนอนหงายหนึ่งสัปดาห์(ใช้หมอนล็อคคอ)
- ใส่หมวกผ้าทุกครั้งเวลาออกจากบ้าน อยู่บ้านถอดออกได้ใส่ไว้นาน 2-4 สัปดาห์เพื่อกันฝุ่นมลภาวะ
- ห้ามทำกิจกรรมกระทบกระเทือนศีรษะห้ามนวดศีรษะเด็ดขาด
- ห้ามทำกิจกรรมออกแรงเช่นเบ่งยกของหนักงดออกกำลังกาย2-4สัปดาห์
- ห้ามสูบบุหรี่เด็ดขาด
- งดกินวิตามิน/อาหารเสริม/ชา/กาแฟ 1สัปดาห์
- งดดื่มแอลกอฮอล์ 4 สัปดาห์จากนั้นไม่ควรดื่มเป็นประจำ
- เริ่มออกกำลังกายเบาๆเหงื่อออกไม่เยอะได้หลัง 2สัปดาห์ ไม่ควรปล่อยให้มีเหงื่อสะสม หมักหมม
- งดว่ายน้ำ 1เดือน
- หลีกเลี่ยงสถานที่และกิจกรรมที่มีฝุ่นควันความร้อน 2-4 สัปดาห์ งดซาวน่า/สปา 2 เดือน
- ในระยะเวลา 2 สัปดาห์แรกจะเป็นสะเก็ดและคันได้ ห้ามแกะ ห้ามเกาเด็ดขาด ปล่อยให้สะเก็ดหลุดเอง หากคันมากให้เป่าลมเย็นบรรเทาอาการหรือรับประทานยาแก้คัน (ล้างสะเก็ดแผลที่โรงพยาบาลตามบัตรนัดวันที่ 14 หลังปลูกผม)
- ห้ามใส่หมวกหรือสิ่งที่กดทับผมที่ปลูก 1 เดือน
- ใช้ไดร์เย็นระดับเบาเป่าผมที่ปลูกได้
- เริ่มสระผมเอง ถูเบาๆ ผมที่ปลูกได้ 1 เดือน
- บริเวณผมที่เจาะออกจากด้านหลังอาจรู้สึกตึงๆ เจ็บๆ ชาๆ ได้ถึงประมาณ 1-3 เดือน อาการจะค่อยๆดีขึ้นเอง
- ควรงดการยืด/ดัด/ย้อม/เคมี 1 ปี
- กินยาต่อเนื่องให้หมด หากต้องการหยุดยาต้องแจ้งแพทย์เพื่อปรับยา (ห้ามหยุดยาเอง)
- สามารถดูแลเส้นผมและหนังศีรษะอย่างอื่นควบคู่ได้ เช่น ฉายแสง LED Light Therapy การใช้สเปรย์บำรุงผม เพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุด
- มาพบแพทย์ตามนัดหมายทุกครั้ง
> อาการบวมและคันหลังจากปลูกผม
อาการบวมและคันหลังการปลูกผมเป็นอาการที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในช่วง 2-3 วันแรก และมักจะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์
สาเหตุของอาการบวม
- การอักเสบ: เกิดจากการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อ ขณะทำการปลูกผม
- การสะสมของของเหลว: ร่างกายจะส่งของเหลวไปยังบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ เพื่อช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการบวมได้
- ยาชา: ยาชาที่ใช้ในระหว่างการปลูกผม อาจทำให้เกิดอาการบวมได้
สาเหตุของอาการคัน
- การสมานแผล: ขณะที่แผลกำลังสมานตัว อาจเกิดอาการคันได้
- สะเก็ดแผล: สะเก็ดแผลที่เกิดขึ้น อาจทำให้รู้สึกคัน
- การระคายเคือง: อาจเกิดจากการแพ้ หรือระคายเคืองต่อผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม
วิธีบรรเทาอาการบวมและคัน
- ประคบเย็น: ใช้ผ้าเย็นประคบบริเวณที่บวม วันละหลายๆ ครั้ง ครั้งละ 15-20 นาที
- นอนหนุนหมอนสูง: ช่วยลดอาการบวมบริเวณใบหน้า
- รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง: เช่น ยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ
- ทำความสะอาดแผล: ตามคำแนะนำของแพทย์
- หลีกเลี่ยงการเกา: การเกาอาจทำให้เกิดการติดเชื้อ และแผลหายช้า
- หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดการระคายเคือง: เช่น แสงแดด ฝุ่นละออง สารเคมี
- ใช้ยาตามที่แพทย์สั่ง: เช่น ยาทาแก้คัน
อาการแบบไหนที่ควรพบแพทย์?
- อาการบวม หรือคัน รุนแรงขึ้น
- มีไข้ หนาวสั่น
- แผลมีหนอง หรือเลือดไหล
- มีอาการปวดศีรษะ รุนแรง
- มีอาการอื่นๆ ที่ผิดปกติ
ข้อแนะนำ
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
- ดูแลตัวเอง และพักผ่อนให้เพียงพอ
- งดสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก
> อาการผมร่วงหลังจากปลูกผม
อาการผมร่วงหลังการปลูกผมเป็นเรื่องที่พบได้บ่อย และมักสร้างความกังวลใจให้กับผู้ที่เข้ารับการรักษา แต่ในหลายกรณี เป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นชั่วคราว และผมใหม่จะงอกขึ้นมาแทนที่
ประเภทของผมร่วงหลังการปลูกผม
- Shock Loss: เป็นผมร่วงที่เกิดขึ้นในช่วง 2-8 สัปดาห์แรกหลังการปลูกผม เกิดจากการบาดเจ็บของรากผม และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งเป็นอาการชั่วคราว ผมใหม่จะงอกขึ้นมาแทนที่ภายใน 3-4 เดือน
- Telogen Effluvium: เป็นผมร่วงที่เกิดจากความเครียด เช่น การผ่าตัด การเจ็บป่วย หรือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้หลังการปลูกผม โดยผมจะร่วงมากขึ้น และใช้เวลาในการงอกใหม่นานกว่า
สาเหตุอื่นๆ ของผมร่วงหลังการปลูกผม
- การติดเชื้อ: หากแผลติดเชื้อ อาจทำให้ผมร่วงได้
- การดูแลตัวเองไม่ถูกวิธี: เช่น การเกา การแกะสะเก็ด หรือการใช้สารเคมี
- โรคประจำตัว: เช่น โรคไทรอยด์ โรคเบาหวาน
วิธีดูแลตัวเองหลังการปลูกผม เพื่อลดโอกาสการเกิดผมร่วง
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
- ดูแลแผลให้สะอาด ตามคำแนะนำของแพทย์
- หลีกเลี่ยงการเกา หรือแกะสะเก็ด
- งดกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก
- รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง
- ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ตามคำแนะนำของแพทย์
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- จัดการความเครียด
> การปลูกผมใช้เวลาและพักฟื้นนานหรือไม่?

- การปลูกผมใช้เวลาประมาณ 6-8ชั่วโมง และพักฟื้นภายหลังการปลูกผมประมาณ 2-3 วัน ซึ่งใน 2-3 วันนี้ แนะนำให้เข้ามาพบแพทย์เพื่อติดตามอาการ รวมถึงทำความสะอาดแผล-ล้างแผล-สระผม-ทุกวัน
โดยสามารถกลับไปใช้ชีวิตและทำงานได้ตามปกติ ตั้งแต่วันแรกหลังการปลูกผม แต่ยังคงต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อผลการรักษาที่สมบูรณ์
> ผมที่ปลูกจะอยู่ไปตลอด หรือถาวรหรือไม่?

- ผมที่ถูกเลือกมาใช้สำหรับการปลูกผม เป็นรากผมและเส้นผมจากบริเวณท้ายทอยและหลังกกหู หรือที่เรียกว่า Donor Area ซึ่งผมบริเวณนี้เป็นบริเวณที่รากผมไม่มีต่อมรับสัญญาณเพศชายที่จะไปกระตุ้นให้ผมร่วง ดังนั้นรากผมและเส้นผมจากบริเวณนี้จะเป็นรากผมและเส้นผมที่ไม่ได้รับผลกระทบจากฮอร์โมนหรือจากภาวระผมร่วงจากกรรมพันธุ์ ซึ่งไม่ว่าจะปลูกผมในบริเวณใดก็ได้ (Recipient Area) ผมที่ปลูกก็ตามจะอยู่กับเราไปตลอดอย่างถาวร อย่างไรก็ตามหลังการปลูกผม ยังคงต้องรดูแลผมและหนังศีรษะอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ผมที่ปลูกรวมถึงผมเดิมอยู่กับเราอย่างแข็งแรง สุขภาพดี ไปได้นานที่สุด
> ทำไมหลังการปลูกผม ผมจึงร่วงก่อนแล้วจึงงอกขึ้นใหม่ / วงจรชีวิตเส้นผม / เส้นผมแต่ละเส้นอยู่กับเรานานแค่ไหน

โดยปกติเส้นผมบนศีรษะของคนเราแต่ละคนมีมากถึง 100,000 เส้น ซึ่งมีมากที่สุดในช่วงแรกเกิด มีมากกว่า 1,000 รากผม ต่อ 1 ตร.ซม. และจะค่อยๆน้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น เหลือเพียงประมาณ 600 รากผม ต่อ 1 ตร.ซม.เมื่ออายุได้ประมาณ 20-30 ปี เหลือประมาณ 500 รากผม ต่อ 1 ตร.ซม.เมื่อเข้าสู่วัยประมาณ 40-50 ปี และเหลือประมาณ 400 รากผม ต่อ 1 ตร.ซม. เมื่อเข้าสู่วัยประมาณ 60-70 ปี
โดยเส้นผมแต่ละเส้นสร้างมาจาก “เซลล์รากผม” ซึ่งอยู่ลึกประมาณ 1-2 มิลลิเมตร ใต้หนังศีรษะจะมีเซลล์ที่ผลิตแกนผมเปลือกนอกของผม นอกจากนี้บริเวณรากผมยังมีเซลล์สร้างเม็ดสี โดยปัจุบันคนเอเชียจะมีผมสีดำหรือน้ำตาลเข้ม เพราะมีเม็ดสีที่เรียกว่า “ยูเมลานิน” (Eumelanin) ซึ่งมีสีเข้ม แต่คนที่ผมสีทองมียูเมลานิลน้อย ลักษณะของเซลล์เม็ดสีของต่างชาติมีชื่อว่า “ฟีโอเมลานิน” (Pheomelanin) ซึ่งมีสีอ่อนเมื่อระยะเวลาผ่านไปเซลล์เม็ดสีก็ค่อยๆเสื่อมลงหรือตายไป ก็จะเกิดเป็นภาวะที่เรียกว่า“ผมหงอก” นั่นเอง
เส้นผมจะมีวงจรในการเจริญเติบโตทั้งสิ้น 4 ระยะ คือ
1) เติบโต (Anagen Phase) เป็นระยะเวลาที่เส้นผมใหม่งอกขึ้นมา มีระยะเวลายาวนานประมาณ 2 ถึง 6 ปี เมื่ออายุมากขึ้นระยะการเจริญเติบโตจะสั้นลง ในระยะนี้เส้นผมจะยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 0.5 – 1 เซนติเมตรต่อเดือน (90% ของเส้นผมจะอยู่ในระยะเจริญเติบโต 10% ในระยะพักตัว)
2) พักตัว (Catagen Phase) คือ ระยะสิ้นสุดการเจริญเติบโตและเส้นผมจะเข้าสู่ระยะพักตัว ในระยะนี้เส้นผมจะแยกตัวจากหลอดเลือดที่มาหล่อเลี้ยง ค่อยๆขาดสารอาหารและเตรียมที่จะร่วงระยะนี้จะกินเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ (10% ของเส้นผมอยู่ในระยะพัก)
3) หยุดการเจริญเติบโต (Telogen Phase) ต่อมรากผมจะเลื่อนตัวขึ้นไป ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 2-4 เดือน (10-15% ของเส้นผมระยะหยุดการเจริญเติบโต) ถ้ามีอะไรมาขัดขวางการเจริญของผมใหม่หรือเร่งให้ผมอยู่ในระยะพักเร็วขึ้นก็จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผมร่วง มากกว่าที่ผมจะขึ้น ผมอาจจะบางลง หนังศรีษะอาจเกิดการผิดปกติ ทำให้หัวล้านได้
4) (Early Anagen) ระยะนี้ เป็นระยะที่จะมีเส้นผมที่งอกขึ้นมาใหม่ดันให้ผมเก่าร่วงออกไป และกลับเข้าสู่ระยะที่ 1) ต่อไป
โดยปกติ หลังการปลูกผม ผมที่ปลูกจะค่อยๆร่วงพร้อมกับสะเก็ดก็หลุดออกจนหมดใน 1-2 เดือนหลังการปลูกผม เหมือนกับเราไม่ได้ปลูกผมเลย หรือที่เรียกกันว่า Shock loss ซึ่งป็นช่วงที่ผมเข้าสู่ช่วงระยะพักตัว (Catagen Phase) (ซึ่งจะร่วงเฉพาะเส้นผม แต่เซลล์รากผม เซลล์ยังคงฝังอยู่ในหนังศีรษะ) เมื่อเข้าสู่เดือนที่ 4-6 หลังการปลูกผม ผมเส้นใหม่ที่แข็งแรงจะค่อยๆงอกและยาวขึ้น จนหนาแน่นเป็นธรรมชาติตั้งแต่เดือนที่ 6-10 เป็นต้นไป (ปกติจะเห็นผลชัดเจนประมาณเดือนที่ 12)
> ปลูกผม DHI ต่างกับ FUT อย่างไร?
การปลูกผมแบบ DHI (Direct Hair Implantation) และ FUT (Follicular Unit Transplantation) ต่างก็เป็นเทคนิคการปลูกผมถาวรที่ได้รับความนิยม แต่มีขั้นตอนการดำเนินการที่แตกต่างกัน ส่งผลให้มีข้อดี ข้อเสีย และความเหมาะสมกับผู้เข้ารับการรักษาที่แตกต่างกัน
ลักษณะ | DHI (Direct Hair Implantation) | FUT (Follicular Unit Transplantation) |
วิธีการ | – เจาะเก็บรากผมทีละกอจากบริเวณท้ายทอย – นำรากผมที่เก็บได้ไปปลูกในบริเวณที่ต้องการ | – ตัดแถบหนังศีรษะจากบริเวณท้ายทอย – แยกเซลล์รากผมออกจากแถบหนังศีรษะ – นำรากผมไปปลูกในบริเวณที่ต้องการ |
แผลเป็น | – แผลเป็นจุดเล็กๆ มองเห็นได้ยาก | – แผลเป็นแนวเส้นตรงบริเวณท้ายทอย |
ระยะเวลาพักฟื้น | – ฟื้นตัวเร็ว – แผลหายเร็ว | – ใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า – แผลหายช้ากว่า |
ความเจ็บปวด | – เจ็บน้อยกว่า | – เจ็บมากกว่า |
จำนวนกราฟที่ได้ | – ได้จำนวนกราฟน้อยกว่า | – ได้จำนวนกราฟมากกว่า |
ข้อดี | – แผลเป็นเล็ก มองเห็นได้ยาก – ฟื้นตัวเร็ว – เจ็บน้อยกว่า | – ได้จำนวนกราฟผมมากกว่า |
ข้อเสีย | – ได้จำนวนกราฟผมน้อยกว่า | – แผลเป็นเห็นชัดเจน – ใช้เวลาพักฟื้นนาน – เจ็บมากกว่า |
เหมาะกับ | – ผู้ที่ต้องการปลูกผมจำนวนไม่มาก – ผู้ที่ต้องการแผลเป็นขนาดเล็ก – ผู้ที่ต้องการพักฟื้นเร็ว – ผู้ที่ไว้ผมสั้น | – ผู้ที่ต้องการปลูกผมจำนวนมาก |
> ปลูกผม Advanced-FUE ต่างกับ DHI อย่างไร?
การปลูกผมแบบ Advanced-FUE (Advanced-Follicular Unit Extraction) และ DHI (Direct Hair Implantation) เป็นเทคนิคการปลูกผมที่มีความคล้ายคลึงกัน โดยทั้งคู่เป็นการเจาะเก็บรากผมทีละกอ แต่มีความแตกต่างกันในขั้นตอนการปลูกผม ซึ่งส่งผลต่อข้อดี ข้อเสีย และความเหมาะสมกับผู้เข้ารับการรักษา
ลักษณะ | Advanced-FUE (Advanced-Follicular Unit Extraction) | DHI (Direct Hair Implantation) |
วิธีการ | – เจาะเก็บรากผมทีละกอ – ใช้ใบมีดเล็กๆ กรีดเปิดรู บนหนังศีรษะ – นำรากผมที่เก็บได้ไปปลูกในรูที่เตรียมไว้ | – เจาะเก็บรากผมทีละกอ – ใช้ปากกาปลูกผม (Implanter Pen) ใส่รากผมและปลูกผมในขั้นตอนเดียว |
ระยะเวลา | – ใช้เวลานานกว่า DHI | – ใช้เวลาน้อยกว่า Advanced-FUE |
ความหนาแน่น | – อาจได้ความหนาแน่นน้อยกว่า DHI | – ได้ความหนาแน่นมากกว่า Advanced-FUE |
การฟื้นตัว | – ฟื้นตัวเร็ว | – ฟื้นตัวเร็ว |
ราคา | – ราคาถูกกว่า DHI | – ราคาสูงกว่า Advanced-FUE |
ข้อดี | – ราคาถูกกว่า – แผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว | – ได้ความหนาแน่นของเส้นผมมากกว่า – ควบคุมทิศทาง มุม และความลึกของรากผมได้แม่นยำ – ลดโอกาสการเกิดแผลเป็น และการบาดเจ็บของรากผม – แผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว |
ข้อเสีย | – อาจได้ความหนาแน่นน้อยกว่า – ควบคุมทิศทางของรากผมได้น้อยกว่า | – ราคาสูงกว่า |
เหมาะกับ | – ผู้ที่ต้องการปลูกผมจำนวนไม่มาก – ผู้ที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย | – ผู้ที่ต้องการปลูกผมจำนวนมาก – ผู้ที่ต้องการความหนาแน่นสูง – ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ |
DHI เป็นเทคนิคการปลูกผมที่พัฒนาต่อยอดมาจาก Advanced-FUE โดยเน้นความแม่นยำ ความหนาแน่น และผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ แต่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า การเลือกวิธีที่เหมาะสม ควรพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพเส้นผม งบประมาณ และความต้องการ รวมถึงปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินสภาพเส้นผม และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด
> ข้อจำกัดของการปลูกผมแบบ DHI
แม้ว่าการปลูกผมแบบ DHI จะเป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมและมีข้อดีหลายประการ แต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่างที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจ ดังนี้
- จำนวนกราฟที่จำกัด: การปลูกผมแบบ DHI จะได้จำนวนกราฟผมน้อยกว่า FUT เนื่องจากเป็นการเจาะเก็บรากผมทีละกอ ซึ่งอาจไม่เพียงพอสำหรับผู้ที่มีปัญหาผมร่วงหรือศีรษะล้านในบริเวณกว้าง
- ใช้เวลานาน: การเจาะเก็บรากผมทีละกอ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง ขึ้นอยู่กับจำนวนกราฟที่ต้องการปลูก
- ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง: เช่น สุขภาพของรากผม สภาพหนังศีรษะ และการดูแลตัวเองหลังการปลูกผม ซึ่งอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม และผลลัพธ์ที่ได้
- ไม่เหมาะกับทุกคน: DHI อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผมบางมาก หรือมีรากผมไม่แข็งแรง
- อาจเกิดรอยแผลเป็น: แม้ว่าแผลเป็นจาก DHI จะมีขนาดเล็ก แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากแพทย์ไม่มีความชำนาญ
- ผมบริเวณท้ายทอยอาจบางลง: เนื่องจากเป็นการนำรากผมจากท้ายทอยมาปลูก ซึ่งอาจทำให้ผมบริเวณท้ายทอยบางลงได้ หากนำรากผมออกมามากเกินไป
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจปลูกผมแบบ DHI ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินสภาพเส้นผม ความเหมาะสมในการรักษา และพูดคุยถึงความคาดหวัง รวมถึง ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ เพื่อประกอบการตัดสินใจ
> ข้อดีปลูกผม DHI
การปลูกผมแบบ DHI (Direct Hair Implantation) เป็นเทคนิคการปลูกผมที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ด้วยข้อดีหลายประการ ที่ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง หรือศีรษะล้าน
- แผลเป็นขนาดเล็ก มองเห็นได้ยาก: การปลูกผม DHI เป็นการเจาะเก็บรากผมทีละกอ จึงไม่ทำให้เกิดแผลเป็นขนาดใหญ่ มีเพียงรอยแผลเล็กๆ ซึ่งจะหายไปเองตามธรรมชาติ และมองเห็นได้ยาก แม้จะตัดผมสั้น
- รากผมสมบูรณ์กว่า: เนื่องจากการใช้อุปกรณ์พิเศษที่เรียกว่า DHI Implanter สำหรับขั้นตอนปลูกผม ทำให้โอกาสเกิดความเสียหายต่อรากผมน้อยกว่า
- ฟื้นตัวเร็ว: แผลหลังการปลูกผม DHI มีขนาดเล็ก จึงใช้เวลาในการฟื้นตัวไม่นาน ผู้เข้ารับการรักษาสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ โดยไม่ต้องพักฟื้นนาน
- เจ็บน้อยกว่า: เทียบกับการปลูกผมแบบ FUT ซึ่งต้องตัดแถบหนังศีรษะ การปลูกผม FUE เจ็บน้อยกว่ามาก
- ลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อน: เช่น การติดเชื้อ หรือแผลเป็นนูน
- ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ: ผมที่ปลูกใหม่จะงอกขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ กลมกลืนกับเส้นผมเดิม
- สามารถปลูกผมได้ในหลายบริเวณ: เช่น ศีรษะ คิ้ว หนวด เครา
ไม่จำเป็นต้องโกนผมทั้งหมด: สามารถเลือกโกนผมเฉพาะบริเวณที่ต้องการปลูกได้
> การปลูกผม DHI เหมาะกับใคร?
- ผู้ที่ต้องการปลูกผมจำนวนไม่มาก
- ผู้ที่ต้องการแผลเป็นขนาดเล็ก มองเห็นได้ยาก
- ผู้ที่ต้องการพักฟื้นเร็ว
- ผู้ที่ไว้ผมสั้น
- ผู้ที่ต้องการปลูกผมในบริเวณเล็กๆ เช่น คิ้ว หนวด เครา
> ผลลัพธ์หลังปลูกผม
การปลูกผม DHI เป็นการรักษาผมบาง ศีรษะล้านแบบถาวรอย่างยั่งยืน เพราะผมที่ท้ายทอยนั้นได้รับผลกระทบจากฮอร์โมน DHT ซึ่งเป็นฮอร์โมนซึ่งพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิงที่ส่งผลให้ผมร่วง (โดยปกติฮอร์โมน DHT จะส่งผลต่อการร่วงของผมที่บริเวณกลางศีรษะและบริเวณแนวไรผมด้านหน้าเหนือหน้าผาก) ดังนั้นผมที่ถูกย้ายมาจากบริเวณท้ายทอยจะไม่ถูกฮอร์โมน DHT โจมตี และไม่เกิดการหลุดร่วงจากฮอร์โมนอีก
> ปลูกผม DHI ราคาเท่าไหร่?
ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 89,999 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวน ‘กราฟท์’ ที่ใช้ในการปลูกผม และเทคนิคที่ใช้ปลูกผม
สำหรับค่าใช้จ่ายในการปลูกผมอย่างละเอียด สามารถติดต่อสอบถามเพื่อรับคำปรึกษาโดยไม่มีค่าใช้จ่ายได้ที่ แผนกผิวหนังและศัลยกรรมตกแต่ง โรงพยาบาลนวมินทร์ 9
> ทำไมต้องปลูกผมที่ โรงพยาบาลนวมินทร์ 9?
- โรงพยาบาลได้รับรองมาตรฐาน JCI จากประเทศอเมริกา
- ทุกขั้นตอนในโรงพยาบาล ได้มาตรฐาน
- ทุกขั้นตอนโดยแพทย์และผู้ชำนาญการ
- ห้องผ่าตัดได้มาตรฐานโรงพยาบาลระดับสากล
- ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องนอนค้าง รพ.
- ออกแบบแนวไรผมเฉพาะบุคคล ดูเป็นธรรมชาติ
- แทบไร้รอยแผลเป็น ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเจ็บตัว
- ทำเพียงครั้งเดียว อยู่ได้ตลอด ไม่ต้องทำซ้ำ
- ทีมแพทย์และบุคลากรพร้อมดูแลตลอด 24 ชั่วโมง
- ติดตามอาการและดูแลต่อเนื่อง ไม่มีค่าใช้จ่าย
- รับประกัน 1 ปีเต็ม ไม่ขึ้นปลูกให้ใหม่